ผู้สื่อขาวได้รับการเปิดแผยจาก พล.ต.ต.ชัยทัต รุ่งแจ้ง
ผบก.ภ.จ.บึงกาฬว่า เมื่อวันที่ 8 ก.ค. ที่ผ่านมารวมกับคณะรอง ผวจ.บึงกาฬ
คือนายศุภชัย เหลืองแสงทอง เดินทางไปตรวจราชการที่ อ.บึงโขงหลง ระหว่างนั้นได้มี
พ.ต.อ.ชยรพ สายจันยนต์ ผกก.สภ.บึงโขงหลงมาบอกว่า วันนี้ (8 ก.ค. 2554) เวลาประมาณ
15.20 น. จะมีพญานาคโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำในบึงโขงหลงให้ผู้คนได้เห็นเป็นบุญตา
และยังกล่าวอีกว่า ตอนแรกยังไม่ปักใจเชื่อ
แต่เพื่อเป็นการพิสูจน์ให้เห็นกับตาเลยชวนคณะรองผู้ว่าฯ ไปเฝ้ารอดู เมื่อไปถึงพบว่ามีประชาชนรอดูอยู่แล้วประมาณ
400-500 คน และทยอยมากันรวมประมาณ 1,000 คนได้ กระทั่งเวลาประมาณ 15.18 น.
ผู้คนต่างส่งเสียงร้องฮือฮาพร้อมชี้มือตะโกนไปยังกลางหนองน้ำบึงโขงหลง
ภาพที่เห็นแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง เมื่อพบเห็นวัตถุเคลื่อนไหวห่างจากฝั่งประมาณ
200 เมตร ลักษณะคล้ายงูใหญ่กำลังว่ายน้ำบิดตัวเป็นเกลียวว่ายจากทางทิศใต้ไปทางทิศเหนือ
ความยาวของสัตว์ที่กำลังว่ายน้ำน่าจะอยู่ประมาณ 8-10 เมตร ความใหญ่ราวๆ ลำตัวคน หรือประมาณเส้นผ่านศูนย์กลาง
20 ซม. และมีสีดำว่ายน้ำอยู่ประมาณ 2 นาที ก็หายไป (ข่าวจากไทยรัฐ)
เมื่อข่าวเหตุการณ์ดังกล่าวแพร่ออกไป ผู้คนต่างให้ความสนใจกันมากขึ้น
จนในวันที่ 17 ส.ค. ก็ต้องฮือฮากันอีกครั้งเมื่อ พ.ต.อ.ชยรพ ออกมาให้ข่าวอีกว่า ”ปู่อือลือ”
ผู้เป็นพญานาคและเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบึงโขงหลงให้ความเคารพบูชา
ได้มาเข้าฝันและบอกว่า ในวันที่ 19 ส.ค. 2554 เวลา 16.00 น.
จะมาปรากฏร่างให้เห็นอีก นับเป็นครั้งที่ 4 ในปีนี้ นอกจากว่ายน้ำให้เห็นแล้ว
ยังจะแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารด้วย โดยคราวนี้จะให้เห็นส่วนหัวที่เป็นหงอนสีแดงและพ่นน้ำให้ดู
จากสามครั้งที่ผ่านมา พ.ต.อ.ชยรพ
บอกเวลาการปรากฏกายของปู่อือลือได้แม่นยำมาตลอด
จะมีคลาดเคลื่อนก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ดังนั้นในครั้งต่อไปทั้งสื่อและประชาชนจึงต่างเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อที่จะได้พิสูจน์ให้เห็นกับตา
เพราะในครั้งนี้ พ.ต.อ.ชยรพ
ได้บอกว่าขอนุญาตปู่อือลือแล้วว่าให้สื่อมวลชนเข้ามาทำข่าวและถ่ายภาพได้
และเมื่อถึงวันนัดหมาย มีผู้คนนับหมื่นจากทั่วสารทิศ
จนบริเวณโดยรอบแออัดไปด้วยผู้คน แม้ฟ้าฝนจะไม่เป็นใจ
มีฝนโปรยลงมาตลอดช่วงบ่ายก็ไม่ได้ทำให้ผู้คนที่มาเฝ้ารอถอดใจแต่อย่างใด จนกระทั่งเวลา
16.00 น. ผู้คนก็ได้เฮกันลั่น เมื่อมีงูขนาดใหญ่ สีดำ ยาวประมาณ 10 เมตร
ว่ายน้ำอยู่ห่างจากฝั่งประมาณ 150 เมตร นาน 2 นาที ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมา
บางคนถึงกับยกมือสาธุเป็นบุญตาที่ได้ชมบารมี
แต่บางคนต้องผิดหวังเพราะถูกคนข้างหน้ากางร่มบัง พ.ต.อ.ชยรพ
อธิบายสาเหตุที่ปู่อือลือมาปรากฏตัวช้ากว่านัดหมายว่า
เพราะมีหมอผีเขมรจากไหนไม่ทราบมาทำพิธีขอฝน
ซึ่งขัดกับทางตนที่ทำพิธีขอไม่ให้ฝนตกตอนบวงสรวงปู่อือลือ
พอฝนตกลงมาอย่างหนักจึงทำให้ปู่อือลือลังเลที่จะออกมา
แต่ในที่สุดก็ยอมออกมาเพราะเห็นถึงความศรัทธาของผู้คนที่เฝ้ารอ
แต่น่าเสียดายที่ฝนตกจึงทำให้มองเห็นปู่อือลือได้ไม่ชัดเจนนัก
รวมทั้งสื่อมวลชนก็ถ่ายภาพได้ยาก
หลังจากนั้นผู้คนก็ทยอยกลับ บ้างสมหวังบ้างผิดหวัง
แต่ยังมีบ้างกลุ่มที่รออยู่อีก จนกระทั่งเวลา 17.40 น. ปู่อือลือก็ไม่ทำให้ผิดหวัง
ท่านออกมาว้ายน้ำให้ชมกันอีกรอบ ซึ่งครั้งนี่นานถึง 4 นาที
สร้างความประทับใจแก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก
หลังเหตุการณ์ “ปู่อือลือนาคราชสำแดงฤทธิ์”
ว่ายน้ำเล่นกลางบึงโขงหลวงครั้งที่ 4 ผ่านไป
ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ออกมามากมายว่า พญานาคมีอยู่จริงอย่างนั้นหรือ
หรือว่านี่จะเป็นแค่เรื่องแหกตา
และในระหว่างที่ทุกคนกำลังตามล่าหาความจริงอยู่นั้น
คนทั่วไปก็ต้องตกตะลึงอีกครั้ง เมื่อเช้าของวันที่ 24 ส.ค. 2554
มีข่าวพาดหัวทั่วทุกสื่อว่า พญานาคปู่อือลือปรากฏอีก คนหาปลาเจอจังๆ เหตุการณ์ดังกล่าวสำนักข่าว
INN รายงานว่า
เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม นายปราโมทย์ สุกทน ผอ.โรงเรียนบึงโขงวิทยา อ.บึงโขงหลง
เปิดเผยว่า ตั้งแต่เช้าเวลา 08.00 น. วันที่ 23 ส.ค.
ได้มีชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมฝั่งบึงโขงหลงและที่กำลังหาปลาอยู่รอบบึง
ได้พบเห็นพญานาคปู่อือลือที่อาศัยในหนองน้ำบึงโขงหลงในเขตเทศบาลบึงโขงหลงออกมาปรากฏกายให้เห็นหลายๆ
จุดในรอบบึง โดยครั้งนี้ไม่เหมือนหลายครั้งที่ผ่านมาที่จะสื่อสารผ่าน
พ.ต.อ.ชยรพ ก่อนทุกครั้ง แต่เมื่อข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป
ทำให้ชาวบ้านและผู้ที่มีความเชื่อศรัทธาและต้องการพิสูจน์พบเห็นปู่อือลือต้องเดินทางออกจากบ้านมาดู
หลายคนบันทึกภาพใส่กล้องมือถือได้ โดยนางกัลยา กรวิรัตน์ วัย 50 ปี
ที่มีบ้านพักติดริมบึง อาชีพแม่ค้า กล่าวว่า ตนได้ยินเสียงนางหนู นายชัย
ซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้กันและเป็นคนหาปลาอยู่หน้าเขื่อนร้องเสียงโหยหวนดังมาก
นึกว่าโดนรถชน แต่พอตนวิ่งออกไปดูที่หน้าบ้านก็เห็นนางหนูวิ่งหน้าตาตื่นขึ้นจากน้ำมาหา
ท่าทางตกใจเหมือนคนเพิ่งเจอผีมา แต่พอตนมองไปตามทางที่นางหนูวิ่งขึ้นมา
ก็เห็นพญานาคปู่อือลือเป็นงูใหญ่ลำตัวเท่าลำเรือหาปลา สีดำ ยาวประมาณ 30 เมตร
ท่านกำลังว่ายน้ำจากทิศใต้ขึ้นเหนือ นานประมาณ 10 นาที โดยบอกว่า แปลกที่ไม่มีน้ำกระเพื่อมรอบตัว
เหมือนงูธรรมดาว่ายน้ำจะต้องเห็นคลื่นน้ำรอบตัวงู ชาวบ้านที่ทราบข่าวจึงแห่ไปรอดูกันหลายพันคน
จนถึงเวลา 17.59 น. พยานาคก็ปรากฏให้เห็นเป็นครั้งที่ 5
โดยขึ้นมาลอยน้ำอยู่ใกล้ศาลาเฉลิมพระเกียรติห่างฝั่งประมาณ 70 เมตร
ต่อหน้าผู้คนที่รอชมนาน 3 นาที
ผู้คนที่รอชมต่างส่งเสียงอื้ออึงพร้อมเสียงไชโยและสาธุรอบบึง
โดย พ.ต.อ.ชยรพ กล่าวว่าปู่อือลือมาปรากฏตัวโดยไม่ได้บอกตนมาก่อน
เป็นเพราะอยากแก้ตัวที่เมื่อวันที่ 19 ออกมาได้แป๊บเดียว พร้อมกับบอกอีกว่า ประชาชนที่ผิดหวังจะได้ชมบารมีท่านอีกในวันออกพรรษาแน่นอน
และจะมีการพ่นบั้งไฟพญานาคด้วยซึ่งถือเป็นครั้งแรกของบึงโขงหลง
เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่า “ปู่อือลือ” มีอยู่ในบึงจริง
โดยคราวนี้ขอเอาตำแหน่งของตนเองเป็นประกัน
ระหว่างรอให้วันออกพรรษามาถึงเพื่อชมบั้งไฟ
เรื่องของพญานาคกลับมาเป็นข่าวครึกโครมอีกครั้งไม่ต่างกับคราวที่เกิดบั้งไฟพยานาคขึ้นมาใหม่ๆ
และดูท่าเรื่องราวคราวนี้จะอัศจรรย์ยิ่งขึ้นไปอีก
เมื่อครั้งนี้เป็นเรื่องของพยานาคตัวเป็นๆ ที่ตั้งใจมาโชว์ให้เราได้เห็นโดยสื่อสารผ่าน
พ.ต.อ.ชยรพ
เพื่อแจ้งวันเวลาในการปรากฏกายจนกลายเป็น ทอร์คออฟเดอะทาวน์
ของคนทั้งประเทศ เป็นข่าวเด่นบนหน้าหนังสือพิมพ์ รายการโทรทัศน์
และโลกไซเบอร์ในเวลาอันรวดเร็ว และแม้ข่าวจะรายงานจบไปแล้ว แต่ความเชื่อ
ความศรัทธา และวิทยาศาสตร์ ยังไม่จบ และดูท่าจะยือเยื้อซ้ำรอยบั้งไฟพญานาคอีกด้วย
หลายคนหลายฝ่ายต่างนำเอาภาพถ่ายและคลิปวีดีโอที่ถ่ายไว้ได้มาแสดงเพื่อร่วมพิสูจน์และตั้งข้อสังเกตกันอย่างถึงพริกถึงขิง
วึ่งแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มหลักๆ ดังนี้
กลุ่มแรก เชื่อว่าเป็นพญานาคปู่อือลือแปลงกายมาอย่างแน่นอน
เพราะได้เห็นกับตาว่าเป็นงูใหย่สีดำตัวยาว ตรงตามที่ พ.ต.อ.ชยรพ บอกไว้
แถมยังมาปรากฏตามวันที่นักหมายอีกด้วย แม้เวลาจะคลาดเคลื่อนไปบ้างก็ตาม
ประกอบกับความศรัทธาและความเชื่อว่าพยานาคมีอยู่จริงอยู่แล้ว
กลุ่มที่ 2 เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง คือ เชื่อมั่นตามพระไตรปิฎกว่าพยานาคมีอยู่จริง
แม้จะไม่เคยเห็นก็ตาม ในเมื่อเขาอยู่คนละภพกับมนุษย์
การไม่เคยเห็นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่อยู่ๆ
จะมาแสดงอภินิหารแปลงกายเป็นงุใหญ่มาให้ชมก็นับเป็นเรื่องที่แปลกอยู่
แถมนัดเวลาอีกด้วย ทว่าสิ่งที่ได้เห็นนั้นมันไม่ชัดเจน อีกทั้งอยู่ไกลเกินไป
แล้วยังจะมีสายฝนทำให้มองเห็นได้ไม่ชัด จึงยังไม่ปักใจเชื่อ
กลุ่มที่สาม ไม่เชื่อ 100% คือ
เชื่อในสิ่งที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้เท่านั้น เรื่องของพญานาคเป็นเพียงความเชื่อ ไม่ได้มีอยู่จริง
เพราะจนถึงทุกวันนี้ยังไม่เคยมีใครถ่ายภาพชัดๆ ของพญานาคมาให้ดูได้สักคน เมือพญานาคไม่มีอยู่จริง
สิ่งที่เห็นจะต้องเป็นอะไรสักอย่างซึ่งต้องพิสูจน์กันต่อไปว่าแท้จริงแล้วมันคืออะไร
เป็นสิ่งมีชีวิตธรรมดาตามธรรมชาติ หรือปรากฏการณ์คลื่นน้ำกันแน่
นอกจากกลุ่มความคิดเห็นที่แบ่งแยกแล้ว
ยีงมีบางคนตั้งข้อสังเกตุการปรากฏตัวของปู่อือลือไว้อย่างน่าสนใจอีกด้วย เช่น
พ.ต.อ.ชยรพ ตั้งข้อสังเกตว่า ทุกครั้งก่อนที่ปู่อือลือจะปรากฏตัวนั้น
ลมจะสงบ คลื่นจะสงบ พื้นน้ำราบเรียบ น้ำนิ่งมากๆ เมื่อสภาพแวดล้อมสงบนิ่ง
ปู่อือลือก็จะปรากฏตัว จากข้อสังเกตุนี้ช่วยให้สามารถอธิบายเหตุการณ์ในวันที่ 19
ส.ค. ได้อย่างดีว่า ทำไมปู่อือลือจึงมาปรากฏกายช้ากว่าเวลาที่นัดหมาย
นั่นก็เพราะสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย จึงทำให้เวลาคลาดเคลื่อนออกไป
ส่วนชาวบ้าน ตั้งข้อสังเกตุว่า
จุดที่ปู่อือลือปรากฏตัวนั้นเป็นจุดเดียวกับที่คนหาปลาบอกว่าตรงนั้นเป็นโบสถ์เก่า
และเคยทอดแหไปติดกับฐานพระพุทธรูป แต่หลังจากนั้นก็ไม่เคยมีใครได้เห็นฐานพระพุทธรูปนั้นอีก
เพราะพญานาคที่คอยปกปักษ์รักษาบึงโขงหลงได้แสดงอภินิหารบังตาไว้
เพื่อป้องกันไม่ให้คนโลภมาเก็บเอาไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัว
ในขณะที่ก็มีชาวบ้านบางส่วน ตั้งข้อสังเกตุว่า
งูใหญ่สีดำที่ปรากฏนั้นว่ายน้ำไม่เป็นธรรมชาติ
งูธรรมดาเวลาว่ายน้ำจะเลื่อยไปมาจนน้ำรอบๆ เกิดการกระเพื่อม
แต่งูตังนี้กลับเคลื่อนไหวแตกต่างออกไป คือเคลื่อนลำตัวขึ้นลง
มองเห็นส่วนของลำตัวโผล่พ้นน้ำถึงสามช่วงด้วยกัน
ซึ่งเป็นลักษณะการว่ายน้ำของพญานาค ตรงกับภาพวาดของพญานาคในพุทธประวัติ
ถึงแม้ความคิด ความเห็น ความเชื่อ จะมีเหตุผลมาประกอบแตกต่างกันไป แต่เรื่องการนัดหมายเวลาและการมาปรากฏกายอย่างแม่นยำยังเป็นอะไรที่เหลือเชื่อ
ท้าทายให้ผู้คนอยากพิสูจน์
จากการที่ พญานาคปู่อือลือ โด่งดังในเวลาอันรวดเร็ว
และน้อยคนนักจะเคยรู้จัก ทำให้คนภายนอกคิดว่าท่านเพิ่งได้รับการบูชา
ทั้งที่จริงแล้วปู่อือลือเป็นตำนานของการก่อกำเนิดบึงโขงหลง
และเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบึงโขงหลงมาช้านานแล้ว
ชาวบ้านเชื่อว่าปู่อือลือเป็นเจ้าแห่งบึงโขงหลง เป็ยพญานาคที่คอยปกปักษ์รักษาบึงและชาวบ้านที่ใช้บึงแห่งนี้เป็นแหล่งทำมาหากิน
ซึ่งที่ผ่านมาชาวบ้านมักจะบนบานศาลกล่าวหรือขอพรจากท่านให้แคล้วคลาดปลอดภัยทุกครั้งที่ออกไปหาปลาในบึง
ดังนั้นผู้ที่ประสบพบเจอเรื่องแปลกๆ
หรือภินิหารของปู่อือลือส่วนใหญ่จะเป็นชาวบ้านที่ทำอาชีพประมงในบึงโขงหลง
เรื่องเล่ามากมายถูกถ่ายทอดจากปากสู่ปาก จากรุ่นสู่รุ่น...
เมื่อนานมาแล้ว ขณะที่คนหาปลากำลังล่องเรืออยู่กลางบึง อยู่ๆ
ทางข้างหน้าก็มีหมอกควัน พอเรื่อแล่นเข้าไปในกลุ่มควันก็เหมือนกับไปโผล่ในเมืองๆ
หนึ่งที่มีสภาพไม่เหมือนดลกมนุษย์ปัจจุบัน จนกระทั่งควันหายไปเรือก็มาเกยฝั่ง
สร้างความฉงนให้กับคนหาปลาผู้นั้นเป็นอย่างมาก จนทุกวันนี้ยังไม่มีใครอธิบายได้ว่านั่นคือที่ไหน
เรื่องราวแปลกๆ
ที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นอภินิหารของปู่อือลือนาคราชยังไม่หมดเพียงแค่นั้น
ชาวบ้านเล่าต่อว่า มีชาวประมงผู้หนึ่งได้ออกเรือไปและจอดทอดแหอยู่กลางบึง
แต่ในระหว่างที่กำลังสาวแหอยู่นั่นเองได้เกิดสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง
จนต้องเรียกพรรคพวกมาช่วยกันดำลงไปดู
แล้วทุกคนก็ต้องทึ่งเมื่อพบว่ามีฐานพระพุทธรูปคาอยู่ตรงนั้น พอชาวบ้านคนอื่นๆ
ทราบข่าวก็พากันดำลงไปดูบ้าง แต่ไม่น่าเชื่อว่าไม่มีใครเจออีกเลย จะว่าน้ำพัดไปก็ไม่น่าเป็นไปได้
เพราะฐานนั้นมีขนาดใหญ่ซึ่งน่าจะหนักพอสมควร
และหากถูกน้ำพัดไปจริงก็น่าจะไปไม่ไกลแต่นี่กลับหายไปอย่างกับล่องหนได้
นับแต่นั้นมาก็ยังไม่มีใครกล้าดำลงไปแถวนั้นอีก
เพราะคิอว่าปู่อือลือท่านคงไม่อยากให้ไปรบกวนที่ตรงนั้นจึงบังตาไว้ไม่ให้เห็นฐานพระพุทธรูป
ผู้เฒ่าผู้แก่บอกว่าที่ตรงนั้นแต่เดิมมีโบสถ์อยู่ แต่จมลงใต้บึงเมื่อนานมาแล้ว
เพราะฤทธิ์ของะญานาค
นอกจากนี้ยังมีบ่อยครั้งที่ปู่อือลือคอยช่วยเหลือชาวประมงให้รอดพ้นจากพายุฝนที่โหมกระหน่ำและกลับเข้าฝั่งได้อย่างปลอดภัย
เล่ากันว่ามีเรือหาปลาของชาวประมงคนหนึ่งเจอเข้ากับพายุฝน
ลมกรรโชกแรงจนเรือเกือบจะล่ม แต่จู่ๆ
ก็เกิดปาฏิหารเหมือนกับมีบางอย่างมาหนุนเรือไว้และพากลับเข้าฝั่งอย่างน่าอัศจรรย์
สิ่งแรกที่เขานึกถึงคงไม่พ้นปู่อือลือมาช่วยเป็นแน่ และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาก็กราบไหว้บูชาปู่อือลือมาตลอด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น