ในฤดูน้ำหลาก บริเวณ แก่งอาฮง
จะปรากฏกระแสน้ำไหลวนเป็นรูปกรวยอย่างเห็นได้ชัด
สร้างความประหลาดใจแก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก
ชาวบ้านจึงตั้งชื่อจุดที่เกิดน้ำวนนี้ว่า “สะดือแม่น้ำโขง”
แม้ในช่วงน้ำลดก็สามารถมองเห็นแอ่งตรงนั้นได้อย่างชัดเจน
ชาวบ้านจึงลองเอาเชือกไปผูกติดกับก้อนหินแล้วหย่อนลงตรงสะดือแม่น้ำโขงจนสุด
วัดความลึกได้ถึง 98 วา บ้างก็ว่าลึกถึง 99 วา
ถือว่าจุดนี้เป็นจุดที่ลึกที่สุดของแม่น้ำโขงก็ว่าได้
นอกจากนี้ชาวบ้านยังมีความเชื่อกันว่า
ที่ใต้สะดือแม่น้ำโขงนั้นมีถ้ำขนาดใหญ่และเป็นเมืองหลวงของพญานาค
เป็นสถานที่อยู่ของราชาพญานค เป็นจุดศูนย์กลางการปกครองนาคพิภพ
โดยถ้ำแห่งนี้สามารถใช้สัญจรไปฝั่งลาวได้ซึ่งจะไปทะลุที่ ภูงู
ส่วนทางออกอีกด้านคือเมืองคำชะโนด จ.อุดรธานี เป็นหนึ่งในสามทางออกที่พญานาคนามว่า
พญาศรีสุทโธนาคราช ขอพระอินทร์เอาไว้
และนี่ก็คือสาเหตุที่ว่าทำไมน้ำในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์จึงไม่เคยเหือดแห้งไป
ก็เพราะบ่อน้ำนี้ได้เชื่อมกับสะดือแม่น้ำโขง เมืองหลวงพญานาคนั่นเอง
พิภพพญานาคนั้น ประกอบด้วยชนชั้นปกครอง ชนชั้นใต้ปกครอง
และแบ่งเป็นเมืองต่างๆ เหมือนกับโลกมนุษย์
ดังปรากฏในเรื่องพญนาคแปลงเป็นหมูสะกดหญิงสาวพาไปเมืองบาดาล ว่า “ที่นี่เป็นเมืองบาดาลและเป็นเมืองหน้าด่าน
ส่วนตัวเมืองหลวงนั้นยังอยู่อีกไกล” กล่าวได้ว่าความเชื่อเรื่อง เมืองหลวงพยานาค
นั้นน่าจะมีอยู่จริงไม่ได้กล่าวขึ้นมาเล่นๆ อย่างหลักลอยแต่อย่างใด
เมื่อมีเมืองหลวงพญานาคก็ย่อมต้องมีพญานาคอาศัยอยู่เป็นธรรมดา
ดังใจความในตำนานพญานาคสองฝั่งโขงตอนหนึ่งว่า...ราชา พญานาคโอฆินทร
อาศัยอยู่ที่สะดือแม่น้ำโขง หรือ เมืองหลวงพยานาค
ซึ่งถือว่าเป็นศูนย์กลางการปรครองของนาคพิภพ มีบุตรนามว่า มธุรนาคราช เมื่อเจริญวัยเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นได้ติดตามบิดาขึ้นไปบนพื้นดิน
และทั้งคู่ก็ได้แลเห้นเหตุการณ์วันเทโวโรหนะขณะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปิดโลก
ครั้งนั้น ทั้งพญานาคและมนุษย์ เมื่อได้ยลพุทธลักษณะต่างก็บังเกิดความศรัทา
เคารพเลื่อมใสเป็นอย่างมาก
จึงต่างตั้งใจบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามสติปัญญาและอนุภาพของตน
ซึ่งด้วยฤทธานุภาพของพญานาคทำให้สามารถกลั่นดวงประทีปหรือบั้งไฟเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาได้
จากตำนานดังกล่าว นับได้ว่านี่เป็น ครั้งแรกที่พญานาคพ่นไฟเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา
และเกิดขึ้นที่ สะดือแม่น้ำโขง แสดงให้เห็นว่าพยานาคที่อาศัยในเมืองหลวงพยานาคนั้นต้องเป็นพยานาคที่มีบุญบารมีมาก
อีกทั้งหมั่นบำเพ็ญศีลภาวนาอบ่างสม่ำเสมอจึงทำให้เกิดแรงปิติมากจนสามารถพ่นบั้งไฟพยานาคได้
ชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นเล่าว่า
เมื่อหลายปีก่อนมัคนเคยเห็นบั้งไฟพญนาคโตเท่ากับแทงค์น้ำ
สีเขียวสว่างพุ่งขึ้นจากใต้น้ำ สูงขึ้นไปประมาณ 20 เมตร จนบริเวณใกล้เคียงสว่างไสวราวกับว่าเป็นเวลากลางวันเลยทีเดียว
จากเหตุการณ์ดังกล่าว
ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมบั้งไฟพญานาคที่ขึ้นจากสะดือแม่น้ำโขงถึงมีสีเขียวนวล
ทั้งๆ ที่บั้งไฟพญานาคที่พบเห็นทั่วไปจะมีสีแดงอมชมพู
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น