1.เตมีย์ชาดก
2.ชนกชาดก
3.สุวรรณสามชาดก
4.เนมิราชชาดก
5.มโหสถชาดก
6.ภูริทัตต์ชาดก
7.จันทชาดก
8.นารทชาดก
9.วิทูรชาดก
10.เวสสันดรชาดก
เรื่องของ ภูริทัตต์นาคราช นั้น
กล่าวถึงการบำเพ็ญเพียรบารมีขั้นสูงสุดของพระโพธิสัตว์ เมื่อคราวที่บังเกิดเป็นพญานาค
แม้จะถูกเบียดเบียนได้รับทุกทรมารจนปางตาย
แต่พระองค์ก็ไม่ยอมเสียวาจาสัตย์ที่เคยตั้งสัจจอธิษฐานไว้ ความว่า
พระราชาพระองค์หนึ่งพระนามว่า “พรหมทัตต์”
ครองราชสมบัติอยู่ที่เมืองพาราณสี ทรงแต่งตั้งให้พระโอรสดำรงตำแหน่ง “อุปราช”
อยู่ต่อมาพระองค์ทรงระแวงว่าโอรสคิดแย่งราชสมบัติ
จึงมีพระบรมราชโองการให้ออกไปอยู่นอกเมือง
จนกว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์จึงจะกลับมาได้ พระราชโอรสได้ปฏิบัติตามพระราชโองการ
โดยได้เสร็จไปบวชเป็น “ฤๅษี” อาศัยอยู่ที่ริมแม่น้ำชื่อว่า “ยมุนา” ครั้งนั้นมีนางนาคตนหนึ่งซึ่งนาคสามีได้ตายจาก
และนางต้องอยู่แต่เพียงลำพัง เมื่อเกิดความหว้าเหว่จนไม่อาจทนอยู่ในนาคพิภพได้
จึงขึ้นมาท่องเที่ยวไปตามริมฝั่ง จนมาถึงศาลาที่พักของพระราชโอรส
นางประสงค์ที่จะลองใจว่าฤๅษีผู้พำนักอยู่ในศาลานี้เป็นผู้ที่บวชด้วยจิตเลื่อมใสศรัทธาหรือไม่
จึงได้ตกแต่งประดับประดาทีนอนในสาลานั้นด้วยดอกไม้หอม และของทิพย์จากเมืองนาคพิภพ
เมื่อฤๅษีกลับมาเห็นก็ยินดี ประทับนอนด้วยความสุขตลอดคืน รุ่งเช้าเมื่อฤๅษีออกไปจากศาลา
นางนาคก็เข้ามาดู เมื่อรู้ว่าที่นอนมีรอยคนนอน
จึงรู้ว่าฤๅษีผู้นี้ไม่ได้บวชด้วยความศรัทธา
แต่ยังคงยินดีในของสวยงามตามวิสัยคนมีกิเลส
จากนั้นจึงจัดเตรียมที่นอนไว้ดังเดิมอีก ในวันที่ 3
ฤๅษีเกิดความสงสัยว่าใครเป็นผู้จัดที่นอนออันสวยงามนี้ไว้ จึงทำทีว่าเข้าป่าและแอบดูอยู่บริเวณศาลา
และเมื่อนางนาคเข้ามาตกแต่งที่นอน ฤาจึงถามนางว่า เป็นใคร มาจากไหน
เมื่อได้รับคำตอบว่าเป็นนาค ชื่อ มาณวิกา เมื่อสามีตายจึงเกิดความหว้าเหว่
จึงออกมาจากนาคพิภพ ฤามีความยินดีจึงบอกแก่นางว่า หากพึงพอใจก็จงอยู่ที่นี่
จากนั้นทั้ง 2 จึงอยู่ด้วยกันฉันสามีภรรยา เมื่อเวลาผ่านไป
นานาคได้ให้กำเนิดโอรสองค์หนึ่งชื่อว่า “สาครพรหมทัตต์”
ต่อมาก์ประสูตรพระธิดาองค์หนึ่งชื่อว่า “สมุททชา”
ครั้นเมื่อพระเจ้าพรหมทัตต์สวรรคตแล้ว
เสนาอำมาตยืทั้งหลายจึงได้จัดกระบวนไปเชิญเสด็จพระราชบุตรกลับมาครองเมือง
พระราชบุตรทรงถามนางนาคมาณวิกาว่าจะไปอยู่ในเมืองพาราณสีด้วยกันหรือไม่
นางนาคได้กล่าวปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่า ตนเองเป็นนาคที่อารมณ์ร้าย
เกรงจะทำอันตรายผู้คน พระราชบุตรจึงนำพาโอรสธิดากลับไปนครพาราณสี
อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่โอรสธิดาเล่นน้ำอยู่ในสระ
ก็เกิดตกใจกลัวเต่าตัวหนึ่ง
พระบิดาจึงให้คนจับเต่านั้นไปทิ้งไว้ที่วังน้ำวนแม่น้ำยมุนา
เมื่อเต่าจมลงไปถึงเมืองนาค และเมื่อถูกพวกนาคจับไว้
เต่าก็ออกอุบายบอกนาคทั้งหลายว่า เราเป็นทูตของพระราชาพาราณสี
พระองค์ให้เรามาเฝ้าท้าวธตรฐโดยพระองค์จะพระราชทานพระธิดาให้เป็นพระชายาของท้าวธตรฐ
เมืองพาราณสีกับนาคพิภพจะได้เป็นดองกัน เมื่อท้าวธตรฐได้ฟังก็มรงยินดี
จึงสั่งให้นาค 4 ตน
เป็นฑูตนำบรรณาการไปถวายพระราชาพาราณสีและขอรับตัวพระธิดามาเมืองนาค
พราะราชาเมื่อทรงทราบข่าวก็แปลกพระทัยจึงตรัสกับนาคทั้ง 4 ว่า
“มนุษย์กับนาคนั้นต่างเผ่าพันธ์กัน จะแต่งงานกันได้อย่างไร” เหล่านาคทั้ง 4
เมื่อได้ฟังดังนั้น
จึงกลับไปกราบทูล้าวธตรฐว่าพระราชาพาราณสีทรงดูหมิ่นว่านาคเป็นเผ่าพันธ์งู
ไม่คู่ควรกับพระธิดา เมื่อท้าวธตรบได้ฟังก็ทรงพิโรธ
จึงตรัสสั่งให้นาคบริวารทั้งหลายขึ้นไปเมืองมนุษย์
แผ่พังพานแสดงอิทธิฤทธิ์ตามสถานที่ต่างๆ เพื่อให้ชาวเมืองยำเกรง
จนในที่สุดพระราชาทรงต้องจำยอม และได้ส่งพระนางสมุททชาให้ไปเป็นชายาของท้าวธตรฐ
ฝ่ายพระนางสมุททชา เมื่อไปอยู่นาคพิภพก็ไม่ทรงรู้ว่าเป็นเมืองนาค
เพราะท้าวธตรฐสั่งให้นาคบริวารจำแลงแปลงกายเป็นมนุษย์ทั้งหมด
นางก็อยู่อย่างสุขสบายเรื่อยมา จนมีโอรส 4 องค์ ชื่อว่า สุทัศนะ ทัตตะ สุโภคะ
และ อริฏฐะ
อยู่มาวันหนึ่ง “อริฏฐะ”
ได้ฟังนาคกุมารทั้งหลายบอกว่ามารดาของตนไม่ใช่นาค จึงได้ทดลองดู
โดยเนรมิตกายกลับเป็นนาค นางสมุททชาเห็นเช่นนั้นก็ตกพระทัย ได้ปัดอริฏฐะตกจากตัก
จังหวะนั้นเล็บของพระนางได้ข่วนเอานัยน์ตาของอริฏฐะบอดไปข้างหนึ่ง
นับตั้งแต่นั้นมานางจึงรู้ว่าสถานที่อยู่นี้เป็นนาคพิภพ และครั้นเมื่อพระโอรสทั้ง
4 เจริญวัยขึ้นแล้ว ท้าวธตรฐจึงได้แบ่งสมบัติให้ครอบครองคนละเขต โดยเฉพาะ “ทัตตะ”
ผู้เป็นโอรสที่ 2 นั้น เป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาดมาก ได้มาเฝ้าพระบิดามารดาอยู่เป็นประจำ
อีกทั้งช่วยพระบิดาแก้ไขปัญหาต่างๆ อยู่เสมอ
แม้ปัฐหาของเทวดาทัตตะก็สามารถแก้ไขได้ จึงได้รับการยกย่องและสัญเสริญว่า “ภูริทัตต์”
คือ ผู้มีปัญญาดุจแผ่นดิน อนึ่ง
ภูริทัตต์นั้นได้เคยไปเทวโลกกับพระราชบิดาอยู่เสมอ และเห็นว่าเป็นที่น่ารื่นรมย์
จึงตั้งใจว่าจะรักษาอุโบสถศีลเพื่อจะได้ไปเกิดในเทวโลก
จากนั้นภูริทัตต์จึงเริ่มรักษาอุโบสถศีล แต่ด้วยนาคบริวารทั้งหลายสร้างความรำคาญ
จึงขึ้นไปรักษาอุโบสถศีลอยู่ที่เมืองมนุษย์
โดยขนดรอบจอมปลวกอยู่ใกล้ต้นไทรริมแม่น้ำยมุนา และได้ตั้งสัจจอธิษฐานว่า แม้ผู้ใดต้องการหนัง
เอ็น กระดูก เลือดเนื้อของตน ก็จะยอมบริจาคให้ ขอเพียงให้รักษาศีลให้บริสุทธิ์ก็พอ
ครั้งนั้น มีนายพรานคนหนึ่งชื่อ “เนสารท”
ออกเที่ยวล่าสัตว์ในแถวแม่น้ำยมุนาและได้มาพบภูริทัตต์นาคราชเข้า
เมื่อสอบดูจึงรู้ว่าเป็นโอรสของราชาแห่งนาค ภูริทัตต์ เห็นว่าเนสารทเป็นพรานใจบาปหยาบช้าและอาจเป็นอันตรายแก่ตนได้
จึงบอกกับพรานนั้นว่า เราจะพาท่านกับลูกชาย (โสมทัต) ลงไปเสวยสุขอยู่นาคพิภพ
และเมื่อพรานกับลูกชายลงไปอยู่เมืองนาคได้ไม่นาน ก็เกิดคิดถึงเมืองมนุษย์
จึงปรารถกับภูริทัตต์ว่าอยากจะกลับไปเยี่ยมญาติพี่น้องและอยากจะออกบวชรักษาศีลบ้าง
ภูริทัตต์จึงต้องจำยอมพาพรานนั้นกลับไปเมืองมนุษย์ตามเดิม
ครั้งนั้น มีพญาครุฑ ตัวหนึ่งอาศัยอยู่บนต้นงิ้วฝั่งมหาสมุทรด้านใต้
วันหนึ่ง ในขณะออกไปจับพญานาคมากินเป็นอาหาร
พญานาคตัวหนึ่งเมื่อถูกครุฑจับได้เอาหางพันกิ่งไทรที่อยู่ท้ายศาลาพระฤๅษีแห่งหนึ่งไว้
จนต้นไทรถอนรากติดมาด้วย ครั้นเมื่อครุฑนั้นฉีกท้องของพญานาคกิน (ไขมัน) แล้ว
เมื่อทิ้งร่างของพญานาคไปจึงได้เห็นต้นไทร จึงรู้ว่าได้ทำความผิด คือ
ถอนเอาต้นไทรที่เป็นที่อยู่ของพระฤๅษีมาด้วย ทีนั้น
พญาครุฑจึงแปลงกายเป็นชายหนุ่มเข้าไปถามพระฤๅษี และเมื่อได้คำตอบจนสบายใจแล้วว่า
ทั้งตนและพญานาคไม่มีใครผิด และเพื่อเป็นการตอบแทน
พญาครุฑในคราบจำแลงจึงได้สอนมนตืชื่อ “อาลัมพายน์” อันเป็น มนต์สำหรับครุฑใช้จับนาค
แก่พระฤๅษี
อยู่มาวันหนึ่ง มีพราหมณ์คนหนึ่งเข้าไปในป่า และเผอิญได้พบกับพระฤๅษี
จึงได้บวชอยู่ปรนนิบัติ จนพระฤาษีพอใจ ฤๅษีจึงสอนมนต์อาลัมพายน์ให้ ฝ่ายพราหมณ์เห็นว่าตนมีมนต์นี้แล้วอาจจะเลี้ยงตัวได้จึงลาพระฤๅษีกลับไป
ในระหว่างทาง พราหมณ์นั้นก็เดินสาธยายมนต์ไปด้วย พญานาคทั้งหลายทีขึ้นมาเล่นน้ำเมื่อได้ยินมนต์นั้นก็ตกใจกลัวนึกว่าพญาครุฑมา
ต่างรีบงสู่นาคพิภพจนลืม “ดวงแก้วสารพัดนึก” ไว้บนฝั่ง
เมื่อพราหมณ์ได้เห็นดวงแก้วก็หยิบไปด้วย
และในระหว่างทางก็บังเอิญไปเจอกับพราณเนสราทพร้อมกับลูกชายที่เที่ยวล่าสัตว์อยู่
เมื่อพราณเนสราทเห็นดวงแก้วนั้นก็จำได้ว่าเหมือนกับดวงแก้วที่ภูริทัตต์เคยให้ดูเมื่อตอนที่ตนและลูกชายลงไปนาคพิภพ
จึงออกปากขอดวงแก้วกับพราหมณ์นั้น โดยมีข้อแลกเปลี่ยนว่า ถ้าอยากจะรู้เรื่องอะไร
จะบอกเรื่องนั้นๆ ให้ทราบ พราหมณ์จึงบอกว่าอยากรู้ที่อยู่ของนาค
เพราะตนมีมนต์จับนาค พรานเนสราทจึงพาไปดูที่ที่ ภูริทัตต์ รักษาศีลอยู่
ฝ่ายโสมทัตต์ผู้เป็นลูกชายเกิดความละอายใจที่บิดาคิดไม่ซื่อสัตย์จะทำร้ายมิตรจึงหลบหนีไป
กล่าวถึงภูริทัตต์นาคราช ในขณะที่จำศีลอยู่
เมื่อลืมตาขึ้นดูก็รู้ว่าพราหมณ์คิดจะทำร้ายตน แต่หากจะตอบโต้ศีลก็จะขาด
เมื่อปรารถนาจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์จึงหลับตานิ่งเสีย
ขดกายแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหวแต่อย่างใด ทันใดนั้นพราหมณ์จึงร่ายมนต์อาลัมพายน์
และเข้าไปจับภูริทัตต์นาคราช ได้กดศีรษะ จับปากให้อ้าออก เขย่าให้สำรอกอาหาร
แต่ภูริทัตต์ก็มิได้ตอบโต้
เมื่อพราหมณ์จับภูริทัตต์ได้แล้ว ได้นำไปออกแสดงให้ประชาชนดู
โดยบังคับให้แสดงฤทธิ์ต่างๆ จนเป็นที่พอใจของคน
และได้เปิดทำการแสดงจนมาถึงเมืองพาราณสี โดยได้กราบทูลแด่พระราชาว่า
จะให้นาคแสดงฤทธิ์เพื่อให้ทอดพระเนตร
ครั้งนั้น พระนางสมุททชา
เมื่อรู้ว่าภูริทัตต์หายไปจึงให้พี่น้องออกตามหา โดยสุทัศนะไปโลกมนุษย์
โดยมีนางอัจจิมุขผู้เป็นนน้องสาวต่างมารดาของภูริทัตต์ตามไปด้วย สุโภคะไปป่าหิมพานต์
และอริฏฐะไปเทวโลก
เมื่อสุทัศนะมาถึงเมืองพาราณสี ก็ได้ข่าวว่ามีพญานาคถูกจับมาแสดง
จึงตามไปดู ทีนั้นภูริทัตต์เห็นพี่ชายจึงเลื่อนเข้าไปหา
และได้ซบหัวร้องไห้อยู่ที่เท้า จากนั้นจึงเลื่อยกลับไปหาพราหมณ์ พราหมณ์กล่าวกับสุทัศนะไม่ให้กล้ว โดยกล่าวว่า
“หากท่านถูกนาคกัด ไม่ช้าก็จะหาย” สุทัศนะตอบว่า “เราไม่กลัวหรอก นาคนี้ไม่มีพิษ”
พราหมณ์หาว่าสุทัศนะดูถูกตนหาว่าเอานาคไม่มีพิษมาแสดง จึงเกิดการโต้เถียงกันขึ้น
สุทัศนะจึงท้าว่า “เขียดตัวน้อยของเรายังมีพิษมากกว่านาคของท่านเสียอีก
จะลองเอามาประชันฤทธิ์กันก็ได้” เมื่อถูกท้าทาย พราหมณ์จึงกล่าวว่า
“หากจะให้สู้กันก้จะต้องมีเดิมพันติดปลายนวมเสียหน่อยจึงจะดูสนุก” สุทัศนะจึงขอให้พระราชาพาราณสีเป็นผู้ประกันให้ตนโดยให้เหตุผลว่า
พระราชาจะได้ทอดพระเนตรการต่อสู้ระหว่าง “นาค” กับ “เขียด”
เป็นการตอบแทน ซึ่งพระเจ้ากรุงพาราณสีก็ตกลงตามนั้น
สุทัศนะจึงเรียกนางอัจจิมุขออกมาจากมวยผม และให้คายพิษลงบนฝ่ามือ 3
หยด แล้วทูลว่า “พิษของเขียดน้อยนี้ร้ายแรงนัก
เพราะนางเป็นธิดาท้าวธตรฐราชาแห่งนาคพิภพ
และหากพิษนี้หยดลงบนพื้นดินพืชพันธ์ไม้ก็จะตายหมด
หรือหากโยนขึ้นไปในอากาศจะเกิดความแห้งแล้ง เพราะฝนจะไม่ตกไป 7 ปี และถ้าหยดลงในน้ำ
สัตว์น้ำจะตายหมด” ทันใดนั้นสุทัศนะจึงให้ขุดบ่อ 3 บ่อ กล่าวคือ บ่อแรกใส่ยาพิษ
บ่อที่สองใส่โคมัย บ่อที่สามใส่ยาทิพย์ เมื่อหยดพิษลงในบ่อแรก
ทันใดนั้นของเกิดควันลุกจนเป็นเปลวไฟ และได้ลามไปติดบ่อที่สองและสามตามลำดับ
จนกระทั่งยาทิพญ์ไฟม้ฟมดไฟจึงดับ ฝ่ายพราหมณ์ซึ่งยืนอยู่ข้างบ่อไม่ทันระวังตัว
ได้ถูกไอพิษลวกจนผิวหนังด่างไปทั้งตัว จึงร้องขึ้นด้วยกลัวตายว่า
“ข้าพเจ้ากลัวแล้ว ข้าพเจ้าจะปล่อยนาคนั่นให้เป็นอิสระ”
ภูริทัตต์ได้ยินดังนั้นจึงเลื่อยออกมาจากที่ขังและเนรมิตกายเป็นมนุษย์
ทูลเรื่องทั้งหมดให้พระราชาทรงทราบ
เมื่อทราบว่าภูริทัตต์เป็นโอรสของพระนางสมุททชาก็เท่ากับเป็นหลานของตัวเอง
พระราชาจึงทรงเข้าไปโอบกอดพระหลานรักทั้ง 3 พระองค์
พร้อมกับตรัสถามข่าวคราวของพระนางสมุททชาผู้เป็นน้องสาว
จากนั้นสุทัศนะและนางอัจจิมุขจึงพาภูริทัตต์กลับนาคพิภพ
ฝ่ายสุโภคะที่ออกค้นหาภูริทัตต์ที่ป่าหิมพานต์
เมื่อไม่พบจึงกลับมาทางแม่น้ำยมุนา
และบังเอิญได้มาเจอกับพรานเนสารทซึ่งกำลังสำนึกผิดในบาปทำตนทำลงไป และต้องถูกลูกชายทอดทิ้ง
สุโภคะเมื่อทราบดังนั้น จึงเอาหางรัดพันพรานเนสารทลากดึงให้จมน้ำแต่ไม่ให้ตาย
(แก้วสารพัดนึกได้หลุดมือจมน้ำไป) แล้วจึงนำไปสู่นาคพิภพเพื่อทำการสืบสวนต่อไป
เมื่อมาถึงนาคพิภพ และทันทีที่พรานเนสารทได้แลเห็นภูริทัตต์ที่บอบช้ำ
ก็ยิ่งรู้สึกเสียใจในบาปมากยิ่งขึ้น แต่ภูริทัตต์ก็ไม่ได้เอาความแต่อย่างใด
เพียงให้นำพรานนั้นออกไปจากนาคพิภพก็เท่านั้น
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบขอบคุณครับ ที่เล่าสนใจดี
ตอบลบขอให้ทำต่อไปเรื่อยๆนะครับ
เยี่ยม
ตอบลบทำไมอ่านแล้วน้ำตาไหล ตอนที่นาคภูริทัตต์ โดนพรานไปแสดงโชว์ และเจอพี่ชาย เอาหัวไปซบที่เท้าแล้วร้องไห้ น้ำตาก็ไหลเฉยเลย
ตอบลบสาธุ สาธุ สาธุ
ตอบลบขอบคุณในการเผยแผ่ความดีงามนะครับ
ตอบลบ