หลวงพ่อพระสุก เป็นหนึ่งในพระพุทธรูป 3 องค์ ที่อัญเชิญมาจากเวียงจันทร์ อันประกอบด้วย พระสุก พระเสริม และพระใส ซึ่งสองพระองค์หลังสามารถข้ามแม่น้ำโขงมายังฝั่งไทยได้อย่างปลอดภัย ยกเว้นพระสุกเพียงพระองค์เดียวที่เกิดเหตุอัสจรรย์ถึงสองครั้งก่อนจมลงใต้ลำน้ำโขง จนปัจจุบันก็ยังไม่สามารถอัญเชิญขึ้นมาได้ แม้ว่าจะพยายามอยู่หลายครั้งก็ตาม (เชื่อว่าเป็นอิทธิฤทธิ์ของพญานาค) ทำให้ต้องสร้างองค์จำลองขึ้นมาทดแทน เพื่อให้ประชาชนได้สักการบูชา
ในปี พ.ศ. 2535 พระครูพิสัยกิจจาทร เจ้าอาวาสวัดหลวง
และเจ้าคณะอำเภอโพนพิสัย พร้อมด้วยญาติโยม
ได้ร่วมกันก่อสร้างเจดีย์ขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานของหลวงพ่อพระสุก
ซึ่งแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 8 ต.ค. 2536 จากนั้นจึงได้ประกอบพิธีหล่อพระพุทธรูปองค์หลวงพ่อพระสุกขึ้นและอัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนเจดีย์
แต่หลังจากที่ประดิษฐานหลวงพ่อได้ไม่นาน อยู่ๆ
ก็มีน้ำหยดลงมาจากฝ้าเพดานทุกวัน
เจ้าอาวาสวัดจึงได้ให้ช่างขึ้นไปสำรวจดูยอดเจดีย์ว่ามีรอยรั่วหรือมีน้ำขังอยู่หรือไม่
เพราะเกรงว่าจะทำให้ยอดเจดีย์ทรุดและทำให้พื้นเจดีย์เสียหาย
แต่ก็ไม่พบว่ามีน้ำขังและไม่มีรอยรั่วใดๆ สร้างความประหลาดใจเป็นอย่างมาก ช่างหลายคนพยายามช่วยกันแก้ไข
แต่ทำอย่างไรก็ไม่หาย ไม่มีใครทราบว่าน้ำมาจากไหน
ทางวัดจึงแก้ปัญหาโดยนำถังและภาชนะมารองน้ำไว้ทุกวัน
จนกระทั่งได้มีการพาร่างทรงมาประทับทรง ดดยร่างทรงกล่าวว่า “เหตุที่มีน้ำเนื่องจากมีพญานาคตนหนึ่งนำน้ำมาหล่อเลี้ยง
และปกปักษ์รักษาองค์พระพุทธรูปอยู่ ไม่ให้เกิดเหตุเภทภัยขึ้น” เมื่อข่าวแพร่กระจายออกไป
ทั้งชาวไทยและชาวลาวต่างเดินทางมาชมและตักน้ำที่หยดกลับไปบ้านเพื่อไปบูชา
โดยมีชาวบ้านหลายคนเล่าหลังจากนำน้ำกลับไปว่า
ได้เอาไปผสมน้ำอาบหรือไปลูบไล้ตามเนื้อตัว สามารถทำให้หายปวดเหมื่อยได้ หรือหากปวดหัว
ปวดขา ปวดกล้ามเนื้อ ก็ให้นำน้ำศักดิ์สิทธิ์มาหยดตรงนั้นก็จะหายเช่นกัน
จึงทำให้เชื่อกันว่าน้ำสามารถรักาโรคได้ บางคนก็มาบนบานขอพร
ส่วนใหญ่จะขอให้หายเจ็บป่วย ทุกวันนี้มีชาวบ้านจากที่ต่างๆ
พากันหลั่งไหลมากราบไหว้หลวงพ่อพระสุกและชมปรากฏการณ์น้ำหยดจากยอดเจดีย์มากขึ้น
พร้อมทั้งไม่ลืมที่จะตักน้ำกลับไปบ้านด้วย
เหตุที่พระสุกจมน้ำ
ย้อนไปในรัชสมัยของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ช่วงปี พ.ศ. 2093 – 2115
แห่งอาณาจักรล้านช้างศรีสัตนาคนหุต ทรงมีพระราชธิดา 3 พระองค์ พระนามว่า เสริม สุก
และใส ในปี พ.ศ. 2019
(อ้างจากการท่องเที่ยวของ สปป.ลาว) พระธิดาทั้ง 3
พระองค์ได้ทรงร่วมกันสร้างพระพุทธรูปประจำพระองค์ขึ้น 3 องค์ เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนาและเพื่อความเป้นสิริมงคล
ในพิธีหล่อพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์นั้น
พระภิษุและฆารวาสช่วยกันทำการสูบเตาหลอมทองอยู่ตลอดถึง 7 วัน แต่ทองก็ยังไม่ละลาย
พอถึงวันที่ 8 มีเพียงพระภิษุสูงอายุรูปหนึ่งกับสามเณรรูปหนึ่งสูบเตาอยู่
ก็ปรากฎมีชีปขาวคนหนึ่งอาสาสูบเตาแทนพระและเณร แต่วันนั้นญาติโยมต่างเห็นบรรดาชีปขาวสูบเตาอยู่เป็นจำนวนมาก
เมื่อพระภิศุและสามเณรฉันเพลเสร็จแล้วก็จะไปสูบเตาต่อ
ปรากฎว่าได้มีผู้เททองลงเบ้าทั้ง 3 จนเรียบร้อยแล้ว
แต่ไม่เห็นชีปขาวอยู่แม้แต่คนเดียว การหล่อพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์
สำเร็จด้วยดีอย่างน่าอัศจรรย์ พระราชธิดาทั้ง 3 จึงถวายนามของตนเองให้เป็นนามของพระพุทธรูป
พระเสริม เป็นพระพุทธรูปประจำพระราชธิดาองค์พี่ พระสุก
เป็นพระพุทธรูปประจำพระราชธิดาองค์กลาง และ พระใส
เป็นพระพุทธรูปประจำพระราชธิดาองค์สุดท้อง ซึ่งทั้ง 3 องค์ประดิษฐาน ณ
เมืองเวียงจันทร์
ต่อมา ในรัชกาลที่ 3 เจ้าอนุวงศ์เมืองเวียงจันทร์เป็นกบฏ
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิ์พลเสพย์ เป็นจอมทัพยกพลมาปราบ
เมื่อเมืองเวียงจันทรืสงบดีแล้วจึงได้อัยเชิญพระสุก พระเสริม และพระใส ลงมาด้วย
โดยอัญเชิญมาจากภูเขาควายขึ้นประดิษฐานบนแพไม้ไผ่ซึ่งผูกติดกันอย่างมั่นคงล่องมาตามลำน้ำงึม
เมื่อล่องมาถึงตรงบ้านเวินแท่น (ในขณะนั้น) ได้เกิดเหตุอัศจรรย์
พายุพัดแรงจัด ทำให้แพเอนเอียงจนไม่สามารถรับน้ำหนักของพระแท่นไว้ได้
แท่นของพระสุกจึงได้แหกแพจมลงในน้ำ ที่ตรงนั้นจึงได้เรียกว่า “เวินแท่น”
มาจนปัจจุบัน
แต่การล่องแพก็ยังสามารถล่องมาได้ตามลำดับ จนถึง (ปากน้ำงึม) เฉียงกับบ้านหนองกุ้ง อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย ก็ได้เกิดพายุใหญ่ขึ้นอีก เสียงฟ้าคะนองร้องลั่นไปทั่ว ในที่สุดพระสุกก็แหกแพจมลงใต้ลำโขง จากนั้นเหตุการณ์วิปริตต่างๆ ก็ได้หายไปในทันที บริเวณนั้นจึงได้ชื่อว่า “เวินสุก” (จนบัดนี้พระสุกก็ยังคงจมอยู่ตรงนั้น) คงเหลือแต่พระเสริมกับพระใสเท่านั้นที่ขึ้นฝั่งมาถึงเมืองหนองคายได้อย่างปลอดภัย
แต่การล่องแพก็ยังสามารถล่องมาได้ตามลำดับ จนถึง (ปากน้ำงึม) เฉียงกับบ้านหนองกุ้ง อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย ก็ได้เกิดพายุใหญ่ขึ้นอีก เสียงฟ้าคะนองร้องลั่นไปทั่ว ในที่สุดพระสุกก็แหกแพจมลงใต้ลำโขง จากนั้นเหตุการณ์วิปริตต่างๆ ก็ได้หายไปในทันที บริเวณนั้นจึงได้ชื่อว่า “เวินสุก” (จนบัดนี้พระสุกก็ยังคงจมอยู่ตรงนั้น) คงเหลือแต่พระเสริมกับพระใสเท่านั้นที่ขึ้นฝั่งมาถึงเมืองหนองคายได้อย่างปลอดภัย
จาก เหตุอัศจรรย์ ที่พัดพระสุกจมลงนั้น
เชื่อกันว่าเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ของพญานาคที่ต้องการพระสุกไปบูชายังเมืองใต้บาดาล
และจากความเชื่อนี้ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า “ทำไมต้องเป็นพระสุก”
ความเชื่อแรก...
เนื่องจากการหล่อพระสุกเกิดปัญหาติดขัดไม่สำเร็จดี
ทำให้พระธิดาองค์ที่สร้างพระสุกตั้งจิตอธิษฐานให้พญานาคช่วย
เมื่อพญานาคขึ้นมาช่วยนางตามคำขอก็ได้ขอนางแต่งงาน
ภายหลังจากที่หล่อเสร็จไม่นานก็เกิดศึกสงครามขึ้น พระธิดาได้สิ้รพระชนในศึกครานี้
และไปเกิดเป็นมเหสีของพญานาคดังคำที่เคยสัญญา
ซึ่งสวามีของนางนั้นเป็นพญานาคที่ดีและมีบุญบารมี มีศรัทธาต่อพระพุทธเจ้า
และพ่นบั้งไฟเป็นพุทธบูชาในวันออกพรรษาไม่เคยขาด
จากการที่นางสามารถระลึกชาติได้แล้วเกิดความรู้สึกคิดถึงพระพุทธรูปที่ตนสร้าง
นางจึงตั้งจิตปรารถนาว่าจะเป็นผู้ดูแลเอง เพราะเป็นพระประจำตัวของตน
ครั้นมีผู้อัญเชิญพระสุกเดินทางมาตามลำน้ำโขง
นางพญานาคจึงสำแดงฤทธิ์บันดาลให้เกิดพายุฝนขึ้น คราแรกไม่สำเร็จ
มีเพียงพระแท่นที่จมลงมา นางจึงบันดาลพายุอีกเป็นครั้งที่สอง
แล้วในที่สุดเรือที่อัญเชิญพระสุกมาก็ล่มลงพร้อมๆ
กับพระสุกที่จมดิ่งลงสู่ใต้ลำน้ำโขง
และคาดว่านางคงจะนำไปบูชาเก็บรักษาไว้ในภพของบาดาล
แม้ภายหลังจะมีผู้พยายามอัญเชิญพระสุกขึ้นมา
ก็ทำได้เพียงแค่ลอยขึ้นมาถึงพระอุระของพระสุกเท่านั้น แล้วก็กลับจมลงไปอีก
นับจากนั้นก็ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะอัญเชิญพระสุกขึ้นมาอีก
เพราะกลัวจะทำให้นางพญานาคไม่พอใจ
ความเชื่อที่สอง
ด้วยความที่เหล่าพญานาคมีความศรัทธาต่อพระพุทธเจ้าหลังจากที่ได้ยินข่าวการสร้างพระพุทธรูปขึ้นที่เมืองล้านช้างพญานาคเหล่านั้นก็แปลงกายเป็นมนุษย์ขึ้นไปขอพระพุทธรูปจากเจ้าเมือง
โดยเจาะจงขอพระสุกไปสักการบูชาแต่เจ้าเมืองไม่ให้
เป็นเหตุให้เมื่อมีการขนย้ายพระสุกผ่านลำน้ำโขงพญานาคจึงบันดาลให้เกิดพายุพัดพระสุกจมลงสู่ลำน้ำเพียงองค์เดียว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น